สัตว์แต่ละชนิดที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ มีลักษณะโครงสร้างภายนอกและภายในแตกต่างกันทำให้เราสามารถจำแนกประเภทของสัตว์ออกเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ
สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตเพราะเคลื่อนที่ได้ กินอาหารได้ หายใจได้ ขัยถ่ายได้ และสามารถขยายพันธุ์ออกลูกออกหลานได้ ทำให้สัตว์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในโลกของเรามีสัตว์จำนวนมากมายหลายชนิด สัตว์แต่ละชนิดมีธรรมชาติและมีการดำรงชีวิตแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างภายนอกและลักษณะโครงสร้างภายในของสัตว์นั้น
ประเภทของสัตว์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
เป็นสัตว์ที่มีกระดูกต่อกันเป็นข้อ ๆ กระดูกเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแกนของร่างกาย ตัวอย่างสัตว์มีกระดุกสันหลัง
เป็นสัตว์น้ำ อาศัยอยู่ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม ปลามีรูปร่างเรียวยาว เพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนที่ในน้ำ ลำตัวของปลามีเกล็ดหรือเมือกปกคลุม ปลายหายใจโดยใช้เหงือกปลาส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข่ เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาทู เป็นต้น แต่ปลาบางชนิดออกลูกเป็นตัวเช่น ปลาหางนกยูง ปลาเข็ม ปลาสอด ปลาฉลาม (บางพันธุ์) ครีบหางและครีบข้างลำตัวปลาช่วยให้ปลาเคลื่อนที่ไปในแนวต่าง ๆ ได้
กบ อึ่งอ่า คางคก เขียด เป็นสัตว์ ครึ่งน้ำครึ่งบก ตอนเป็นไข่อยู่ในน้ำต่อมาไข่เจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนที่เรียกว่า “ลูกอ๊อด” ซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำและหายใจโดยใช้เหงือก ขณะลูกอ๊อดอยู่ในน้ำเคลื่อนที่โดยใช้หางว่ายน้ำ เมื่อลูกอ๊อดเจริญเติบโตขึ้น ส่วนหางจะหายไปและมีขา 4 ขา เกิดขึ้น รูปร่างเหมือนตัวแม่โดยทั่วไป แต่มีขนาดเล็กและขึ้นมาอาศัยบนบก สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกเมื่อเติบโตเต็มที่แล้วจะหายใจโดยใช้ปอดและผิวหนัง
จระเข้ เต่า งู จิ้งจก เป็นสัตว์เลื้อยคลานอาศัยอยู่บนบก มีหนังปกคลุมลำตัวเป็นเกล็ดแข็งและแห้ง หายใจโดยใช้ปอด สัตว์เหล่านี้ออกลูกเป็นไข่ ซึงมีเปลือกแข็ง หรือเปลือกเหนียวนิ่มหุ้ม
นก เป็ด ไก่ ห่าน เป็นสัตว์ปีก อาศัยอยู่บนบก มีขา 2 ขา และมีปีก 2 ปีก เพื่อให้บิน ลำตัวปกคลุมด้วยขนที่มีก้านหายใจโดยใช้ปอด สัตว์เหล่านี้ออกลูกเป็นไข่ ที่มีเปลือกแข็งหุ้ม
มนุษย์ ลิง สุนัข ค้างคาว วาฬ โลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะสัตว์ตัวเมียจะมีต่อมสร้างน้ำนม สำหรับเลี้ยงลูก ลำตัวปกคลุมด้วยขนที่เป็นเส้น หายใจโดยใช้ปอด สัตว์เหล่านี้ออกลูกเป็นตัว ลักษณะโครงกระดูกของลิง คล้ายโครงกระดุกของมนุษย์
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกเป็นแกนของร่างกาย สัตว์บางชนิดจึงสร้างเปลือกแข็งขึ้นมาห่อหุ้มร่างกาย เพื่อป้องกันอันตราย
ตัวอย่างสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังคือ
พยาธิ เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีลำตัวยาวรูปร่าง กลม หรือ แบน พยาธิส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์หรือสัตว์ต่าง ๆ และดูดเลือดจากสัตว์เหล่านั้นเป็นอาหาร
กุ้ง กั้ง ปู เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีสารเป็นเปลือกแข็งหุ้มลำตัว ลำตัวแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนหัว และส่วนท้อง ที่ส่วนหัวมีตา 1 คู่ มีขนาดมีส่วนท้อง มีขาที่มีลักษณะต่อกันเป็นข้อสำหรับใชดิน ว่ายน้ำ หรือช่วยในการกินอาหาร
แมลง เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีสารเป็นเปลือกแข็งหุ้มลำตัว เช่นเดียวกับพวกกุ้ง กั้ง ปู แต่ลำตัวของแมลงแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง ที่ส่วนหัวมีตา 1 คู่ มีหนวดที่ส่วนอกมีขาต่อกันเป็นข้อ ๆ จำนวน 3 คู่ (6 ขา) สำหรับ เดิน วิ่ง กระโดด หรือจับอาหารกิน
หอย จัดเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีลำตัวอ่อนนิ่ม มีสารจำพวกหินปูน เป็นเปลือกแข็งหุ้มลำตัว หอยส่วนใหญ่อาศัย อยู่ในน้ำ หอยที่ อาศัยอยู่ในน้ำจืด เช่นหอยกาบ หอยโข่ง หอยขม หอยที่อาศัยอยู่ในน้ำเค็ม เช่นหอยแครง หอยแมลงภู่ หอยกะพง เป็นต้นส่วนหอยบางชนิดอาศัยอยู่บนบก เช่น หอยทาก
ปลาหมึกทะเล เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีลำตัว อ่อนนุ่ม รูปร่างเรียวยาว ส่วนท้ายของลำตัวมีหนวดสำหรับว่ายน้ำ ในลำตัวของหมึกทะเล อาจมีแผ่นแข็ง ๆ เรียกว่าลิ้นทะเล ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกายหมึก
ลิ้นทะเลคือ กระดองหมึกชนิดหนึ่ง สำหรับใช้ทำยาขัดสิ่งของ
สัตว์ในโลกแบ่งเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สัตวืเหล่านี้อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยแตกต่างกันสัตว์บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำ สัตว์บางชนิดอาศัยอยู่บนบก สัตว์บางชนิดอาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ สัตว์เหล่านี้เมื่อเกิดและมีชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำอย่างอิสระตามธรรมชาติ เราจัดเป็น สัตว์ป่า ส่วนสัตว์บ้านหรือสัตว์ป่าที่คนนำมาเลี้ยงจนเชื่อง เราเรียกว่า สัตว์เลี้ยง
สัตว์เลี้ยงมีหลายชนิด สัตว์แต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อมนุษย์หลายด้านแตกต่างกันไป เราสามารถจำแนกสัตว์ต่าง ๆ โดยใช้ประโยชน์ของสัตว์เป็นเกณฑ์ คือ
1.สัตว์เลี้ยงสำหรับใช้แรงงาน เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
2.สัตว์เลี้ยงที่ใช้เนื้อเป็นอาหาร เช่น หมู เป็ด ไก่ กุ้ง ปลา
ม้าเป็นสัตว์ที่แข็งแรง สะอาด และสามารถเจาะเลือดได้ที่ละมาก ๆ ดังนั้นเราจึงใช้ร่างกายของม้าสร้างเซรุ่มแก้พิษงูได้
สัตว์เลี้ยงเพื่อความสวยงามและความเพลิดเพลินเช่น นก ปลา สุนัข กระต่าย
สัตว์เลี้ยงเพื่อใช้ในการทดลองวิทยาศาสตร์ เช่น หนู กระต่าย งู ม้า
การปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยง
1.จัดที่อยู่ให้เหมาะสมกับสภาพของสัตว์ และคอยดูแลและทำความสะอาดที่อยู่ของสัตว์อย่างสม่ำเสมอ
2.ให้น้ำสะอาดและอาหารที่เหมาะสมกับธรรมชาติของสัตว์
3.เมื่อสัตว์มีอาการผิดปกติ เช่น ซึม เบื่ออาหาร ส่งเสียงร้องผิดปกติต้องรีบดูแล และให้การรักษาพยาบาลทันที ถ้าสัตว์มีอาการผิดปกติมาก ต้องรีบให้สัตวแพทย์ดูแลรักษา
สัตว์เลี้ยงด้วยความรักและเมตตา
ประโยชน์ของสัตว์
สัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่ามีประโยชน์ต่อมนุษย์คือ
1.ด้านการเกษตร
ใช้แรงงานจากสัตว์ในการทำการเกษตร เช่น วัว ควายใช้ไถนา ช้างใช้ลากซุง ลิงเก็บมะพร้าว
ใช้เป็นพาหนะ โดยเฉพาะในชนบทที่ห่างไกลจากเส้นทางคมนาคมจะใช้สัตว์เป็นพาหนะ เช่น วัว ควาย ใช้เทียมเกวียนบรรทุกของ ช้างม้าใช้ขี่
ช่วยในการผสมเกสรดอกไม้ ทำให้เกิดเป็นผลใช้รับประทานและช่วยแพร่พันธุ์พืช เช่นผีเสื้อ ผึ้ง มิ้ม ต่อ แตน
ใช้ทำปุ๋ย เช่น ปุ๋ยดอกไม้มาจากมูลของสัตว์ซึ่งจัดเป็นปุ๋ยธรรมชาติช่วยบำรุงดิน ทำให้ต้นไม้เจริญงอกงาม
2.ด้านการแพทย์
ใช้ศึกษาโครงสร้างระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายสิ่งมีชีวิต เช่น ปลา กบ หนู กระต่าย ลิง
ใช้ผลิตวัคซีน เซรุ่ม เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค เช่นม้า งู
ใช้เป็นสัตว์ทดลองเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อได้รับวัคซีน เซรุ่ม หรือสารอื่น ๆ ที่ผลิตขึ้นมาใหม่ เช่น หนู กระต่าย ลิง
3.ด้านการบริโภคและอุปโภค
ใช้เป็นอาหารเช่น หมู วัว ควาย เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง หอย
ใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม เช่น หนังของสัตว์บางชนิด เราสามารถนำมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มหรือ เครื่องใช้ เช่น กระเป๋า เข็มขัด ถุงมือ รองเท้า
ใช้ทำเครื่องใช้ โดยเอาส่วนต่าง ๆ ของสัตว์มาทำ เช่น เขาควาย ใช้ทำด้ามมีด
สัตว์มีประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย แต่ขระเดียวกันก็มีสัตว์บางชนิดที่เป็นโทษแก่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ ที่เป็นพาหนะใน การนำโรคติดต่อ เช่น ยุง แมลงวัน หรือสัตว์บางชนิดก็มีพิษที่สามารถทำอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ เช่น งู แมงป่อง ตะขาบ ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังไม่เข้าใกล้สัตว์มีพิษเหล่านั้น
การคุ้มครองและสงวนรักษาพันธุ์สัตวการทำลายสัตว์ก่อให้เกิดผลเสียอย่างมากมาย ปัจจุบันรัฐบาลจึงได้ออกกฎหมาย เมื่อคุ้มครองสัตว์ป่า เรียกว่า พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 และมีผลบังคับ ใช้ตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535
สัตว์ป่า หมายถึง สัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสัตว์บกสัตว์น้ำ สัตว์ปีก แมลงหรือแมง ซึ่งเกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำ รวมทั้งไข่ของสัตว์ป่า
สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าที่หายากมีจำนวน 15 ชนิด
1.นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ลำตัวสีดำ มีเหลืองสีน้ำเงินเข้ม สะโพกขาวหางสั้นกลม
2.แรด เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดใหญ่ ตาเล็ก หูตั้ง หนังหนา ประสาทดมกลิ่น และการได้ยินดีมาก
3.กระซู่ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ มีพับหนังข้ามตรงส่วนหลังของไหล่เพียงพับเดียว ผิวหนังไม่มีเม็ดนูน มีขนลำตัว ตัวผู้มีเขาขนาดใหญ่
4.กูปรี หรือโคไพร เป็นวัวป่าขนาดใหญ่ ตัวสีดำ ตัวผู้มีเขาขนาดใหญ่ ส่วนปลายเขาบิดชี้ขึ้นข้างบน ปลายแตกเป็นเส้น ๆ มองเห็นเป็นพู่ ส่วนตัวเมียมีเขาเล็กกว่า ปลายไม่แตกเป็นพู่
5.ควายป่า ลักษณะเหมือนควายบ้านแต่มีขนาดใหญ่ เขายาว โคนเขาหนา วงเขากว้าง เท้าทั้งสี่มีมีขาวคล้ายใส่ถุงเท้า ใต้คอมีลายขาวเป็นตัววี
6.ละอง หรือ ละมั่ง เป็นกวางขนาดกลาง ตัวสีน้ำตาลอ่อน คอยาวกว่า กวางชนิดอื่น ตัวผู้เขาโค้งปลายชี้มาด้านข้าง ตัวเมียไม่มีเขา
7.สมันหรือเนื้อสมัน เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กกว่ากวางป่า ขนสีน้ำตาล หางสั้น เขาแตกแขนงมากกว่ากวางชนิดอื่น
8.เลียงผา หรือเยือง หรือโครำ เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้าย แพะ ขนสีดำ ขายาวและแข็งแรง มีต่อมน้ำมันตรงส่วนหน้าของตาทั้ง 2 ข้าง มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย
9. กวางผา เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิดหนึ่ง สีน้ำตาลแกมเทาแกมแดง
10. นกแต้วแล้วทองดำ เป็นนกที่มีลักษณะลำตัวอ้วนป้อม คอสั้น มีขาและจะงอยปากที่แข็งแรง บินได้เก่ง แต่ไม่ชอบบิน ตัวผู้มีหัวสีดำ และท้ายทอยสีน้ำเงินแกมฟ้า ตัวเมียมีหัวสีน้ำตาลแกมเหลือง
11.นกกระเรียน เป็นนกขนาดใหญ่มีคอยาวปีกกว้าง หางกว้างแต่สั้น
12.แมวลายหินอ่อน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตัวโตกว่าแมวบ้านลายคล้ายเสือลายเมฆ แต่เป็นริ้วถี่ที่หางมีลายเป็นจุดดำ ๆ
13.สมเสร็จ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลำตัวตอนกลางสีขาว ส่วนหัวและท้ายสีดำ ขอบหูสีขาว จมูกและริมฝีปากบนยื่นยาวออกมาคล้ายงวงยืดหดเข้าออกได้หางสั้น
14. เก้งหม้อ เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง ขนสีน้ำตาลแก่เกือบดำ ที่หัวมีขนลักษณะคล้ายจุกสีเหลืองแซมดำ
15.พะยูน หรือหมูน้ำ หรือดุหยง เป็นสัตว์เลี้ยงลุกด้วยนม ลำตัวอ้วนกลม มีขนเฉพาะที่บริเวณใกล้ปาก มีรยางค์หน้า 1 คู่ เป็นแผ่นคล้ายใบพาย หางแผ่เป็นแฉกกกว้างแบนลงสัตว์ป่าสงวน 15 ชนิด ของไทย บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว เช่นสมัน บางชนิดก็มีอยู่น้อยมาก ดังนั้นพวกเราทุกคนต้องช่วยกันสงวนรักษาไว้เพื่อให้สัตว์เหล่านี้มีชีวิตอยู่รอดและแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้น
สัตว์ป่าคุ้มครอง หมายถึง สัตว์ป่าตามที่กฎกระทรวงกำหนดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
จากพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ห้ามมิให้ผู้ใดล่าและมีไว้ในครอบครองทั้งสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง ยกเว้น
1.เพื่อการสำรวจ
2.เพื่อการศึกษา และการวิจัยทางวิชาการ
3.เพื่อการเพาะพันธุ์
4.เพื่อการสงวนสาธารณะของทางราชการ และต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดี กรมป่าไม้ หรือถ้าเกี่ยวกับสัตว์น้ำต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง นอกจากนี้ ยังห้ามเพาะพันธุ์สัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้รับอนุญาตในการจัดตั้งและดำเนินการสวนสัตว์สาธารณะแต่ต้องได้รับใบอนุญาตให้เพาะพันธุ์จากอธิบดีกรมป่าไม้
แมวเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อน [5] ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวที่ค้นพบในสมัยอียิปต์โบราณ หรือในพิพิธภัณฑ์อังกฤษในกรุงลอนดอน มีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากปิรามิดโบราณแห่งอียิปต์ ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว ซึ่งเมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้นมีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าแมวอะบิสสิเนียน
กระต่าย จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในวงศ์ Leporidae มีลำตัวขนาดเล็ก ขนปุย หูยาว พบในหลายแห่งของโลก มีสัตว์ 7 สกุลจัดอยู่ในวงศ์ของกระต่าย ที่พบอาศัยตามป่าทั่วไปในประเทศไทยมีชนิดเดียว คือ กระต่ายป่า (Lepus peguensis) ซึ่งมีขนสีน้ำตาล ใต้หางสีขาว ขุดดินเป็นโพรงอาศัย ส่วนที่นำมาเลี้ยงตามบ้าน มีหลายชนิดและหลายสี แต่ที่พบมากจะเป็นสีอ่อนเช่นสีขาว เช่น ชนิด Oryctolagus cuniculus
พันธุ์ของกระต่ายกระต่ายมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ โดยสามารถใช้ขนาดเป็นเกณฑ์ในการจำแนก ได้แก่ กระต่ายแคระ กระต่ายขนาดเล็ก กระต่ายขนาดกลาง และกระต่ายขนาดใหญ่
กระต่ายแคระ เช่น เนเธอร์แลนด์ดวอฟ โปลิช ดวอฟโอโท เป็นต้น
กระต่ายขนาดเล็ก ได้แก่ ฮอลแลนด์ลอป อเมริกันฟัซซี่ลอป มินิเร็กซ์ ดัทช์ เป็นต้น
กระต่ายขนาดกลาง เช่น ซาติน แคลิฟอร์เนียน นิวซีแลนด์ไวท์ เป็นต้น
กระต่ายขนาดใหญ่ ได้แก่ เฟลมมิชไจแอนท์ เฟร้นช์ลอป อิงลิชลอป เชคเกิร์ตไจแอนท์ เป็นต้น
ควาย หรือ กระบือ (อังกฤษ: Water buffalo) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับงานเกษตรกรรมของประเทศทางเอเซียมากที่สุด เพราะ ชาวนานิยมเลี้ยงควายเป็นแรงงานเพื่อไว้ไถนา บ้างก็ใช้ควายเป็นพาหนะ ในการเข้าไปทำไร่ทำนา ในประวัติศาตร์ชาติไทย นายทองเหม็นแห่งหมู่บ้านบางระจันก็ขี่ควายออกไปรบ บ้างก็ฆ่าควายเพื่อกินเนื้อเป็นอาหาร ควายจึงมีประโยชน์หลายประการ ปัจจุบันมีการใช้งานควายน้อยลง เพราะนิยมใช้รถไถ แทน
ลักษณะทั่วไปควายเป็นสัตว์มีสี่ขา เท้าเป็นกีบ ตัวขนาดใกล้เคียงกับวัวโตเต็มวัยเมื่ออายุระหว่าง 5-8 ปี น้ำหนักตัวผู้โตเต็มวัยโดยเฉลี่ย 520-560 กิโลกรัม ตัวเมียเฉลี่ยประมาณ 360-440 กิโลกรัม ตัวผู้จะใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย มีผิวสีเทาถึงดำ (บางตัวมีสีชมพู เรียกว่า ควายเผือก) มีเขาเป็นลักษณะเด่นเฉพาะตัว ปลายเขาโค้งเป็นวงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
ควายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลูกควายจะกินนมแม่จนอายุประมาณ 1 ปี 6 เดือน ควายจะเจริญเติบโตใช้แรงงานได้ระหว่างอายุ 2.5-3 ปี ช่วงที่ใช้งานได้เต็มที่ คือระหว่างอายุ 6-9 ปี ควายแต่ละตัวจะใช้งานได้จนอายุย่างเข้า 20 ปี อายุควายโดยทั่วไปเฉลี่ยประมาณ 25 ปี
สายพันธุ์แยกได้เป็นสองกลุ่มคือควายป่า และควายบ้าน และควายบ้านนั้นก็แบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ ควายปลัก (Swamp buffalo) ควายแม่น้ำ (River buffalo) ทั้งสองชนิดจัดอยู่ในวงศ์ และ สกุล เดียวกันคือ Bubalus bubalis แต่ก็มีความแตกต่างกันทางสรีระวิทยา รูปร่าง อย่างเห็นได้ชัดเจน จากการศึกษาทางด้านชีวภาพโมเลกุลพบว่า ควายปลักมีจำนวนโครโมโซม 24 คู่ ส่วนควายแม่น้ำจะจำนวนโครโมโซม 25 คู่ และสามารถผสมข้ามพันธุ์ระหว่างทั้งสองชนิดนี้ได้ [1]
ควายปลัก
เลี้ยงกันในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า กัมพูชา และลาว เลี้ยงเพื่อใช้แรงงานในไร่นา เพื่อปลูกข้าวและทำไร่ และเมื่อกระบืออายุมากขึ้นก็จะส่งเข้าโรงฆ่าเพื่อใช้เนื้อเป็นอาหาร ชอบนอนแช่ปลัก มีรูปร่างล่ำสัน ผิวหนังมีสีเทาเข้มเกือบดำอาจมีสีขาวเผือก มีขนเล็กน้อย ลำตัวหนาลึก ท้องใหญ่ หัวยาวแคบ เขามีลักษณะแบบโค้งไปข้างหลัง หน้าสั้น หน้าผากแบบราบ ตานูนเด่นชัด ช่วงระหว่างรูจมูกทั้งสองข้างกว้าง คอยาวและบริเวณใต้คอจะมีขนขาวเป็นรูปตัววี (chevlon) หัวไหล่และอกนูนเห็นชัด
ควายแม่น้ำ
พบในประเทศอินเดีย ปากีสถาน อียิปต์ ประเทศในยุโรปตอนใต้และยุโรปตะวันออก ให้นมมากและเลี้ยงไว้เพื่อรีดนม ไม่ชอบลงแช่โคลน แต่จะชอบน้ำสะอาด มีหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์มูร่าห์ นิลิ ราวี เมซานี เซอติ และเมดิเตอเรเนียน เป็นต้น กระบือประเภทนี้จะมีขนาดใหญ่ รูปร่างแข็งแรง ลักษณะทั่วไปจะมีผิวหนังสีดำ หัวสั้น หน้าผากนูน เขาสั้น และบิดม้วนงอ ส่วนลำตัวจะลึกมาก มีขนาดเต้านมใหญ่
[แก้] สิ่งเกี่ยวข้องคำว่า กระบือ เป็นคำยืมมาจากภาษาเขมร ក្របី กฺรบี แปลว่าควายเช่นกัน
ควาย ในภาษาตากาล็อก เรียกว่า คาราบาว เป็นที่มาของวงดนตรีคาราบาว
รถไถที่นำมาใช้แทนแรงงานควาย เรียกว่า "ควายเหล็ก"
พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงริเริ่มโครงการธนาคารกระบือ (Buffalo Bank Project) ขึ้นที่ จ.ปราจีนบุรี
ในประเทศไทยมีประเพณีวิ่งควายที่จังหวัดชลบุรี ในประเทศเวียดนามมีประเพณีชนควายที่จังหวัดหายฟ่อง[2]
มีการนำควายมาเลี้ยงเพื่อการท่องเที่ยว อย่างเช่น บ้านควายไทย จังหวัดสุพรรณบุรี
ควายบ้านที่นำไปปล่อยไว้ในป่า หรือหนีเข้าไปอยู่ในป่า จนกระทั่งมีวิถีชีวิต ลักษณะนิสัยที่เปลี่ยนไปจากความเป็นควายบ้าน มีคำเรียกว่า "ควายปละ" (ข้อมูลคุณมาโนช พุฒตาล การจัดรายการวิทยุ 99.5MHz ออกอากาศวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550)
เต่า (อังกฤษ: Turtle, Tortoise, Soft-shell turtle) คือ สัตว์จำพวกหนึ่งในอันดับ Testudines จัดอยู่ในจำพวกสัตว์เลือดเย็น และเป็น สัตว์เลื้อยคลานด้วย ซึ่งเต่านั้นถือเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยเต่าจะมีกระดูกที่แข็งคลุมบริเวณหลังที่เรียกว่า "กระดอง" ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะสามารถหดหัว ขา และหางเข้าในกระดองเพื่อป้องกันตัวได้ แต่เต่าบางชนิดก็ไม่อาจจะทำได้ เต่าเป็นสัตว์ที่ไม่มีฟัน แต่มีริมฝีปากที่แข็งแรงและคม ใช้ขบกัดอาหารแทนฟัน
โดยมากแล้ว เต่า เป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ได้ช้า อาศัยและใช้ช่วงชีวิตหนึ่งอยู่ในน้ำ ซึ่งมีอาศัยทั้งน้ำจืด และทะเล แต่เต่าบางชนิดก็ไม่ต้องอาศัยน้ำเลย เรียกว่า "เต่าบก" (Testudinidae) ซึ่งเต่าบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ เต่ายักษ์กาลาปากอส (Geochelone nigra) ที่อาศัยอยู่ตามเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะกาลาปากอส ในเอกวาดอร์ (มีทั้งหมด 15 ชนิดย่อย) ในขณะที่เต่าน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ เต่าอัลลิเกเตอร์ (Macrochelys temminckii) อาศัยอยู่ตามหนองน้ำในทวีปอเมริกาเหนือ
เป็นเต่าจำพวกหนึ่งที่ทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่ในทะเลเพียงอย่างเดียว จะขึ้นมาบนบกก็เพียงแค่วางไข่เท่านั้น โดยที่เท้าทั้งสี่ข้างพัฒนาให้เป็นอวัยวะคล้ายครีบ ซึ่งเต่าทะเลทั่วโลกปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ชนิด ใน 2 วงศ์ 5 สกุล ได้แก่ เต่าหัวค้อน (Caretta caretta), เต่าตนุ (Chelonia mydas), เต่ามะเฟือง (Dermochelys coriacea), เต่ากระ (Eretmochelys imbricata), เต่าตนุหลังแบน (Natator depressus), เต่าหญ้าแอตแลนติก (Lepidochelys kempii), เต่าหญ้า (Lepidochelys olivacea) โดยที่เต่ามะเฟืองเป็นเต่าทะเลและเป็นเต่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในน่านน้ำไทยพบได้ถึง 5 ชนิด ไม่พบเพียง 2 ชนิดคือ เต่าตนุหลังแบน และ เต่าหญ้าแอตแลนติก
[แก้] อาหารของเต่าเต่า กินอาหารได้ทั้ง พืช และสัตว์ โดยเต่าบางชนิดก็จะกินแต่เฉพาะสัตว์ เช่น เต่าอัลลิเกเตอร์, เต่าสแนปปิ้ง (Chelydra serpentina) , เต่าปูลู (Platysternon megacephalum) เป็นต้น
เต่าจมูกหมู (Carettochelys insculpta)[แก้] ตะพาบดูบทความหลักที่ วงศ์ตะพาบ
ตะพาบ หรือ ตะพาบน้ำ (อังกฤษ: Soft-shelled turtle) เป็นเต่าจำพวกหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Trionychidae ลักษณะโดยทั่วไปมีลำตัวแบน จมูกแหลม กระดองอ่อนนิ่ม มีกระดองหลังค่อนบ้างเรียบแบน กระดองมีลักษณะเป็นหนังที่ค่อนข้างแข็งเฉพาะในส่วนกลางกระดอง แต่บริเวณขอบจะมีลักษณะนิ่มแผ่นกระดองจะปราศจากแผ่นแข็งหรือรอยต่อ ซึ่งแตกต่างจากกระดองของเต่าอย่างสิ้นเชิง กระดองส่วนท้องหุ้มด้วยผิวหนังเรียบ มีส่วนที่เป็นกระดูกน้อยมาก กระดองจะมีรูปร่างกลมเมื่อ ยังมีขนาดเล็ก และจะรีขึ้นเล็กน้อยเมื่อโตเต็มวัยตั้งแต่คอส่วนบนไปจรดขอบกระดองจะมีตุ่มแข็งเล็ก ๆ ขึ้นอยู่ ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ คอเรียวยาวและสามารถเอี้ยวกลับมาด้านข้าง ๆ ได้ มีจมูกค่อนข้างยาวแต่มีขนาดเล็กและส่วนปลายจมูกอ่อน ตามีขนาดเล็กโปนออกมาจากส่วนหัวอย่างเห็นได้ชัด มีฟัน ขากรรไกรแข็งแรงและคม มีหนังหุ้มกระดูกคล้ายริมฝีปาก ขาทั้งสี่แผ่กว้างที่นิ้วจะมีพังพืดเชือมติดต่อกันแบบใบพายอย่างสมบูรณ์ มีเล็บเพียง 3 นิ้ว และมีหางสั้น
มักอาศัยอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก โดยตะพาบสามารถกบดานอยู่ใต้น้ำได้นานกว่าเต่า แม้จะหายใจด้วยปอด แต่เมื่ออยู่ในน้ำ ตะพาบจะใช้อวัยวะพิเศษช่วยหายใจเหมือนปลา เรียกว่า rasculavpharyngcal capacity ตะพาบชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสวยที่สุดในโลกคือ ตะพาบม่านลายไทย (Chitra chitra) [1] ที่พบในแหล่งน้ำพรมแดนไทยกับพม่า แต่ก็มีเต่าอยู่ชนิดหนึ่งที่ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่แบ่งแยกชัดเจนว่าเป็นเต่าหรือตะพาบ คือ เต่าจมูกหมู (Carettochelys insculpta) หรือที่เรียกกันในวงการปลาสวยงามว่า เต่าบิน พบที่ทวีปออสเตรเลียตอนเหนือ ปาปัวนิวกินี
ตะพาบโดยมากแล้วจะมีนิสัยดุกว่าเต่า เป็นสัตว์ที่ชอบกินเนื้อมากกว่ากินพืช ในประเทศไทยพบได้ในหนองน้ำและแหล่งน้ำจืดทั่วประเทศ ภาษาอีสานเรียกว่า กริว, ปลาฝา หรือ จมูกหลอด เป็นต้น
[แก้] เต่ากับมนุษย์โดยปกติแล้ว มนุษย์จะไม่ใช้เนื้อเต่าหรือไข่เต่าเป็นอาหาร แต่ก็มีบางพื้นที่หรือคนบางกลุ่มที่นิยมบริโภคเนื้อเต่าหรือเนื้อตะพาบ โดยเชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงกำลัง เช่น ตะพาบน้ำตุ๋นยาจีน เป็นต้น โดยความเชื่อทั่วไปแล้ว เต่า ถือเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน คนไทยจึงมีความเชื่อว่าหากได้ปล่อยเต่าจะเป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เชื่อต่ออายุให้ยืนยาว ดังนั้น จึงมักเห็นเต่าหรือตะพาบตามแหล่งน้ำในวัดบางแห่งเสมอ ๆ ในประเทศจีน หลักฐานทางโบราณคดี พบว่า สมัยราชวงศ์เซี่ยและราชวงศ์ซาง กระดองเต่า ถูกใช้เป็นเครื่องทำนายทางโหราศาสตร์ ในทางไสยศาสตร์ของไทย มีการใช้เต่าเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ยันต์เต่าเลือน เป็นต้น
เต่า ในทางภาษาศาสตร์ของไทย ยังใช้เป็นพยัญชนะลำดับที่ ๒๑ โดยมักใช้เป็นตัวสะกด คือ ต.เต่า โดยเป็นตัวอักษรเสียงกลาง นอกจากนี้แล้ว เต่า ยังเป็นตัวแทนของความเชื่องช้า โง่งม จึงมีสำนวนทางภาษาในนัยเช่นนี้ เช่น โง่เง่าเต่าตุ่น เป็นต้น
[แก้] เต่าที่พบในประเทศไทย
เต่าปูลู (Platysternon megacephalum)(เฉพาะเต่าบกและเต่าน้ำจืด)[2]
เต่ากระอาน (Batagur baska)
เต่าลายตีนเป็ด (Callagur borneoensis)
เต่าหับ (Cuora amboinensis) (มี 4 ชนิดย่อย)
เต่าห้วยเขาบรรทัด (Cyclemys artipons)
เต่าใบไม้ (Cyclemys dentate)
เต่าห้วยคอลาย (Cyclemys tcheponensis)
เต่าหวาย (Heosemys grandis)
เต่าจักร (Heosemys spinosa)
เต่าบัว (Hieremys annandalei)
เต่าเหลือง (Indotestudo elongata)
เต่านา (Malayemys macrocephala)
เต่านา (Malayemys subtrijuga)
เต่าหก (Manouria emys) (มี 2 ชนิดย่อย)
เต่าเดือย (Manouria impressa)
เต่าปากเหลือง (Melanochelys trijuga)
เต่าทับทิม (Notochelys platynota)
เต่าปูลู (Platysternon megacephalum) (มี 3 ชนิดย่อย)
เต่าจัน (Pyxidea mouhotii)
เต่าดำ (Siebenrockiella crassicollis)
เต่าแก้มแดง (Trachemys scripta elegans) (ไม่ใช่เต่าพื้นเมืองของไทย แต่เป็นของสหรัฐอเมริกา ถูกนำเข้ามาในฐานะเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม ปัจจุบันได้แพร่ขยายพันธุ์ในแหล่งน้ำจนกลายเป็นสัตว์ประจำถิ่นไปแล้ว)





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น